พระมหาอำนวยทำวิจัยเรื่อง
“การศึกษาเรื่องการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท” เป็นวิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต
ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อ ปี 2542 ก็ประมาณ 13 ปีมาแล้ว
ผมได้นำบทคัดย่อของงานวิจัยชิ้นนี้ลงไปในบทความ
“พระมหาอำนวย
อานันโท[01]” แล้ว
ต่อไปเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ลงในรายละเอียด
ในบทความ
“พระมหาอำนวย
อานันโท[02]” พระมหาอำนวยไม่รู้เมายามาจากไหน
สรุปผลการวิจัยว่า ผู้ปฏิบัติจะปฏิบัติธรรมหมวดใดก็ได้ในโพธิปักขิยธรรม 37 ประการก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้
โดยมีเหตุผลที่ปราศจากหลักฐานสนับสนุนว่า
“แม่น้ำทุกสายย่อมไหลลงสู่มหาสมุทร ฉันใด การปฏิบัติธรรมตามหมวดธรรมใดย่อมนำไปสู่การบรรลุธรรมได้
ฉันนั้น”
ต่อจากนั้นมาพระมหาอำนวยก็สรุปฟันธงแบบไม่อายฟ้า
ไม่อายดินว่า โดยสรุปการปฏิบัติธรรมนั้นมี 2 วิธี คือ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งจะต้องปฏิบัติควบคู่กันไป
โดยเฉพาะวิปัสสนากรรมฐาน ถือว่าเป็นหัวใจของการปฏิบัติ ถ้าผู้ปฏิบัติยังไม่สามารถยกจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณได้
การบรรลุมรรคผลจะไม่เกิดขึ้นเลย
ข้อให้ท่านผู้อ่าน
ตั้งใจอ่านสักนิดหนึ่ง
ข้อความที่มาก่อนข้อสรุป กับ ข้อสรุปนั้น
ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกันเลย พระมหาอำนวยเมายาทันใจหรือไงก็ไม่รู้
ถึงได้สรุปมาแบบนั้นได้
ก็ดังที่ผมได้บอกไปแล้วว่า
พระมหาอำนวยมีรูปแบบการปฏิบัติธรรมอยู่ในใจแล้วคือ ของสายยุบหนอพองหนอ
พระมหาอำนวยเอาสิ่งที่อ่านมาได้ ตัดแปะไปเรื่อย
เพื่อที่จะให้ไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่กำหนดไว้แล้ว
ข้อความนี้
โดยเฉพาะวิปัสสนากรรมฐาน ถือว่าเป็นหัวใจของการปฏิบัติ ถ้าผู้ปฏิบัติยังไม่สามารถยกจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณได้
การบรรลุมรรคผลจะไม่เกิดขึ้นเลย
ในการปฏิบัติธรรมนั้น พื้นฐานที่สุดเลยก็คือ สมถกรรมฐาน
และวิปัสสนากรรมฐาน ตรงนี้ไม่มีใครโต้แย้ง
แต่ทั้งสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐานไม่สามารถทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้แน่ๆ เพราะเป็นแค่พื้นฐาน
วิปัสสนากรรมฐานกับวิปัสสนาญาณไม่ใช่สิ่งเดียวกัน วิปัสสนากรรมฐานกับวิปัสสนาญาณเกี่ยวพันกันอย่างไร
พระมหาอำนวยไม่ได้อธิบายไว้
พระอำนวยเคยอ่านคำสอนของสาวกพระพม่าเรื่อง
วิปัสสนาญาณ 16 ท่านก็จะ “ลากการวิจัย”
ให้ไปถึงวิปัสสนาญาณ 16 ให้ได้
ในย่อหน้าแรกๆ
ท่านกล่าวว่า ผู้ปฏิบัติจะปฏิบัติธรรมหมวดใดก็ได้ในโพธิปักขิยธรรม
37 ประการก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้
ในย่อหน้าต่อมา
ท่านทิ้งโพธิปักขยธรรม 37 ดื้อๆ เอาวิปัสสนาญาณ
16 มาใช้ดื้อๆ
ต่อไปเป็นข้อความสุดท้ายที่จะวิพากษ์วิจารณ์พระมหาอำนวย
ผลของการบรรลุธรรมนั้นมี 4 ระดับ คือ
โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล และ อรหัตตผล ซึ่งผลของการบรรลุธรรมแต่ละระดับ
สามารถขจัดกิเลสได้ตามลำดับ ตั้งแต่กิเลสอย่างหยาบไปจนถึงกิเลสอย่างละเอียด พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลนั้น
ๆ ไปด้วย
ข้อความของพระมหาอำนวยข้างบนนั้น
ทำให้ผมละเหี่ยใจกับการศึกษาในระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยดังกล่าวเหลือเกิน ทำไมคุณภาพมันถึงต่ำขนาดนี้
ความที่มีคุณภาพที่ต่ำมากอย่างนี้
ผมจึงสงสัยว่า พระมหาอำนวยเข้าอยู่ในข่ายใดของประเภทของการบวชที่โบราณว่าไว้
ดังนี้ “บวชลอง บวชลี้ บวชหนีสงสาร บวชผลาญข้าวสุก
บวชสนุกตามเพื่อน บวชเปื้อนศาสนา บวชศึกษาพระธรรม”
พระมหาอำนวยไม่รู้จัก
“อาสวะ” เลยหรือ!!!
เว็บบ้านธัมมะได้กล่าวถึง
“อาสวะ”
ไว้ดังนี้
อา (ทั่ว) + สว (เจริญ ,ไหลไป) กิเลสเครื่องหมักดองที่ไหลไปทั่ว
หมายถึง อกุศลธรรมชนิดหนึ่งที่มีสภาพหมักหมมไว้ในขันธ อาสวะมี ๔ อย่าง คือ
- กามาสวะ เครื่องหมักดองคือความยินดีในกาม ได้แก่ โลภเจตสิกที่เกิดกับโลภมูลจิต ๘ ดวง
- ภวาสวะ เครื่องหมักดองคือความยินดีในภพ ได้แก่ โลภเจตสิกที่เกิดกับโลภทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๔ ดวง
- ทิฏฐาสวะ เครื่องหมักดองคือความเห็นผิด ได้แก่ ทิฏฐิเจตสิกที่เกิด ทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวง
- อวิชชาสวะ เครื่องหมักดวงคือความไม่รู้ ได้แก่ โมหเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิตทั้ง ๑๒ ดวง
ตัว
“อาสวะ” นี้ ต้องใช้ “อาสวักขยญาณ” ของวิชชาสามเป็นตัวกำจัด
ซึ่งเมื่อกำจัดแล้ว บุคคลนั้น
จึงจะบรรลุโสดาบัน
บุคคลที่บรรลุโสดาบันแล้ว
ยังมี “สังโยชน์” ที่จะต้องกำจัดอีก
การที่วิทยานิพนธ์ฉบับนี้
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักธรรมและแนวทางการปฏิบัติเพื่อการบรรลุธรรมแต่ไม่กล่าวถึงวิชชาสาม
ไม่กล่าวถึงอริยสัจ 4 ไม่กล่าวถึง “อาสวะ” ผมถึงลงความเห็นว่า
เป็นวิทยานิพนธ์ที่ห่วยแตกจริงๆ..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น