บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

อาทิตตปริยายสูตร


ในบทความชุดนี้ ผมยืนยันด้วยหลักฐานจากพระไตรปิฎกว่า การบรรลุธรรมจะต้องใช้วิชชาสาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชชา “อาสวักขยญาณ” 

ในการบรรยายวิชชาอาสวักขยญาณในเวรัญชพราหมณ์สูตรนั้น  พระพุทธองค์ทรงอธิบายอย่างชัดเจนว่ามีการกำจัดอวิชชา อาวสะ และมีการพิจารณาอริยสัจ 4 

วิชชาอาสวักขยญาณนั้น ตอบปัญหาการบรรลุธรรมในศาสนาพุทธเถรวาทได้เกือบจะครบถ้วน

บทความนี้ จะนำเสนอ “อาทิตตปริยายสูตร”

อาทิตตปริยายสูตร เป็นธรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมแก่หมู่ภิกษุชฎิล ทั้ง  1,003  รูป

ขณะที่พระบรมศาสดา ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่นั้น ภิกษุชฎิล ทั้ง  1,003  รูป ส่งกระแสจิตไปตามวาระแห่งพระธรรมเทศนา


จิตของพวกเธอ ก็หลุดพ้นจากกิเลสาสวะทั้งปวง สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพด้วยกันทั้งหมด

พระภิกษุชฏิลทั้งหมดนั้น ก็ได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระพุทธศาสนาที่เมืองราชคฤห์ เมืองหลวงแห่งแคว้นมคธ

ทำให้แคว้นมคธเป็นฐานอำนาจสำคัญในการเปยแพร่พระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา

[๕๕] ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลา ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่ตำบลคยาสีสะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ๑๐๐๐ รูป 

ล้วนเป็นปุราณชฎิล. ได้ยินว่า  พระองค์ประทับอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ  ใกล้แม่น้ำคยานั้น พร้อมด้วยภิกษุ ๑๐๐๐ รูป.

ณ ที่นั้น  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน  ก็อะไรเล่าชื่อว่าสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  จักษุเป็นของร้อน  รูปทั้งหลายเป็นของร้อน  วิญญาณอาศัยจักษุเป็นของร้อน สัมผัสอาศัยจักษุเป็นของร้อน  ความเสวยอารมณ์  เป็นสุข  เป็นทุกข์  หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน 

ร้อนเพราะอะไร?

เรากล่าวว่า ร้อนเพราะไฟคือราคะ  เพราะไฟคือโทสะ  เพราะไฟคือโมหะ  ร้อนเพราะความเกิด  เพราะความแก่ และความตาย  ร้อนเพราะความโศก  เพราะความรำพัน  เพราะทุกข์กาย  เพราะทุกข์ใจ  เพราะความคับแค้น.

โสตเป็นของร้อน  เสียงทั้งหลายเป็นของร้อน ...
ฆานะเป็นของร้อน  กลิ่นทั้งหลายเป็นของร้อน ...
ชิวหาเป็นของร้อน  รสทั้งหลายเป็นของร้อน ...
กายเป็นของร้อน  โผฏฐัพพะทั้งหลายเป็นของร้อน ...
มนะเป็นของร้อน
ธรรมทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยมนะเป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยมนะเป็นของร้อน 
ความเสวยอารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้น ก็เป็นของร้อน


ร้อนเพราะอะไร? เรากล่าวว่า 
ร้อนเพราะไฟคือราคะ 
เพราะไฟคือโทสะ
เพราะไฟคือโมหะ 
ร้อนเพราะความเกิด  เพราะความแก่และความตาย  ร้อนเพราะความโศก  เพราะความรำพัน  เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ  เพราะความคับแค้น

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ 
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูปทั้งหลาย 
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยจักษุ 
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยจักษุ
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์  ที่เป็นสุข  เป็นทุกข์  หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข  ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโสต  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเสียงทั้งหลาย ...
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในฆานะ  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกลิ่นทั้งหลาย ...
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในชิวหา  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรสทั้งหลาย ...
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกาย  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโผฏฐัพพะทั้งหลาย ...
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมนะ  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในธรรมทั้งหลาย 
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยมนะ 
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยมนะ
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย.

เมื่อเบื่อหน่าย  ย่อมสิ้นกำหนัด  เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว 

อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี.

ก็แล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่  จิตของภิกษุ ๑๐๐๐ รูปนั้น  พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย  เพราะไม่ถือมั่น

ขอให้สังเกตข้อความที่แสดงให้รู้ว่า ผู้ที่กำลังฟังพระพุทธองค์ทรงสอนอยู่บรรลุมรรคผลนิพพาน จะมีข้อความนี้ ทุกพระสูตร

เมื่อเบื่อหน่าย  ย่อมสิ้นกำหนัด  เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว 

อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี.

ก็แล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่  จิตของภิกษุ ๑๐๐๐ รูปนั้น  พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย  เพราะไม่ถือมั่น

กล่าวคือ ผู้ที่กำลังฟังพระพุทธองค์ทรงสอนอยู่นั้น เกิดความเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายก็สิ้นกำหนัด ต่อมาก็สิ้นอาสวะ

และบุคคลเหล่านั้นก็จะรู้ว่าจิตพ้นแล้ว ก็คือ บรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว

สิ่งที่ทำให้ผู้ที่กำลังฟังพระพุทธองค์ทรงสอนอยู่นั้น เกิดความเบื่อหน่ายก็คือ วิชชาปุพเพนิวาสานุสสติญาณ กับวิชชา จุตูปปาตญาณ

เนื่องจาก พอระลึกชาติไปหลายๆ ชาติเข้า  และรู้ว่า คนอื่นๆ จะไปเกิดเป็นอะไรๆ อีก ซ้ำซากเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น


ต่อมาวิชชาอาสวักขญาณก็สามารถกำจัด “อาสวะ” ได้ กำจัด “อวิชชา” ได้ 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น