ในบทความชุดนี้ ผมยืนยันด้วยหลักฐานจากพระไตรปิฎกว่า การบรรลุธรรมจะต้องใช้วิชชาสาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชชา “อาสวักขยญาณ”
ในการบรรยายวิชชาอาสวักขยญาณในเวรัญชพราหมณ์สูตรนั้น
พระพุทธองค์ทรงอธิบายอย่างชัดเจนว่ามีการกำจัดอวิชชา อาวสะ และมีการพิจารณาอริยสัจ
4
วิชชาอาสวักขยญาณนั้น
ตอบปัญหาการบรรลุธรรมในศาสนาพุทธเถรวาทได้เกือบจะครบถ้วน
บทความนี้
จะนำเสนอ “อาทิตตปริยายสูตร”
อาทิตตปริยายสูตร
เป็นธรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมแก่หมู่ภิกษุชฎิล ทั้ง 1,003 รูป
ขณะที่พระบรมศาสดา
ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่นั้น ภิกษุชฎิล ทั้ง 1,003 รูป
ส่งกระแสจิตไปตามวาระแห่งพระธรรมเทศนา
จิตของพวกเธอ
ก็หลุดพ้นจากกิเลสาสวะทั้งปวง สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพด้วยกันทั้งหมด
พระภิกษุชฏิลทั้งหมดนั้น
ก็ได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระพุทธศาสนาที่เมืองราชคฤห์ เมืองหลวงแห่งแคว้นมคธ
ทำให้แคว้นมคธเป็นฐานอำนาจสำคัญในการเปยแพร่พระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา
[๕๕] ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลา
ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่ตำบลคยาสีสะ
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ๑๐๐๐ รูป
ล้วนเป็นปุราณชฎิล. ได้ยินว่า
พระองค์ประทับอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ
ใกล้แม่น้ำคยานั้น พร้อมด้วยภิกษุ ๑๐๐๐ รูป.
ณ ที่นั้น
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-
|
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน
ก็อะไรเล่าชื่อว่าสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นของร้อน รูปทั้งหลายเป็นของร้อน วิญญาณอาศัยจักษุเป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยจักษุเป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุข เป็นทุกข์
หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย
แม้นั้นก็เป็นของร้อน
ร้อนเพราะอะไร?
เรากล่าวว่า ร้อนเพราะไฟคือราคะ
เพราะไฟคือโทสะ
เพราะไฟคือโมหะ
ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่
และความตาย ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น.
|
โสตเป็นของร้อน
เสียงทั้งหลายเป็นของร้อน ...
ฆานะเป็นของร้อน
กลิ่นทั้งหลายเป็นของร้อน ...
ชิวหาเป็นของร้อน
รสทั้งหลายเป็นของร้อน ...
กายเป็นของร้อน
โผฏฐัพพะทั้งหลายเป็นของร้อน ...
มนะเป็นของร้อน
ธรรมทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยมนะเป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยมนะเป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข
ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้น ก็เป็นของร้อน
|
ร้อนเพราะอะไร? เรากล่าวว่า
ร้อนเพราะไฟคือราคะ
เพราะไฟคือโทสะ
เพราะไฟคือโมหะ
ร้อนเพราะความเกิด
เพราะความแก่และความตาย
ร้อนเพราะความโศก
เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย
เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น
|
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้วเห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูปทั้งหลาย
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยจักษุ
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยจักษุ
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ ที่เป็นสุข
เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย
|
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโสต
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเสียงทั้งหลาย ...
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในฆานะ
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกลิ่นทั้งหลาย ...
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในชิวหา
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรสทั้งหลาย ...
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกาย
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโผฏฐัพพะทั้งหลาย ...
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมนะ
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในธรรมทั้งหลาย
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยมนะ
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยมนะ
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข เป็นทุกข์
หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย.
|
เมื่อเบื่อหน่าย
ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด
จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว
อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี.
ก็แล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุ ๑๐๐๐ รูปนั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
|
ขอให้สังเกตข้อความที่แสดงให้รู้ว่า
ผู้ที่กำลังฟังพระพุทธองค์ทรงสอนอยู่บรรลุมรรคผลนิพพาน จะมีข้อความนี้ ทุกพระสูตร
เมื่อเบื่อหน่าย
ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด
จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว
อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี.
ก็แล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุ ๑๐๐๐ รูปนั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
|
กล่าวคือ
ผู้ที่กำลังฟังพระพุทธองค์ทรงสอนอยู่นั้น เกิดความเบื่อหน่าย
เมื่อเบื่อหน่ายก็สิ้นกำหนัด ต่อมาก็สิ้นอาสวะ
และบุคคลเหล่านั้นก็จะรู้ว่าจิตพ้นแล้ว
ก็คือ บรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว
สิ่งที่ทำให้ผู้ที่กำลังฟังพระพุทธองค์ทรงสอนอยู่นั้น
เกิดความเบื่อหน่ายก็คือ วิชชาปุพเพนิวาสานุสสติญาณ กับวิชชา จุตูปปาตญาณ
เนื่องจาก
พอระลึกชาติไปหลายๆ ชาติเข้า และรู้ว่า
คนอื่นๆ จะไปเกิดเป็นอะไรๆ อีก ซ้ำซากเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น
ต่อมาวิชชาอาสวักขญาณก็สามารถกำจัด
“อาสวะ” ได้ กำจัด “อวิชชา”
ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น