บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

วิชชาสาม

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของศาสนาพุทธเอาไว้ว่า

วัตถุประสงค์สูงสุดของศาสนา คือ การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงและวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด

อีกที่หนึ่งวิกิพีเดียกล่าวไว้ดังนี้

ความดับทุกข์ (นิโรธ) คือ นิพพาน ( เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา ) อันเป็น แก่นของศาสนาพุทธ เป็นความสุขสูงสุด หรือเรียกอีกอย่างว่า
วิราคะปราศจากกิเลส
วิโมกข์พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
อนาลโย ไม่มีความอาลัย
ปฏินิสสัคคายะการปล่อยวาง
วิมุตติ การไม่ปรุงแต่ง
อตัมมยตา ไม่หวั่นไหว
และสุญญตา ความว่าง

คนที่ไปเขียนเรื่อง “ศาสนาพุทธ” ไว้ในวิกิพีเดีย ผมว่า “ไม่รู้เท่าไหร่” ในเรื่องศาสนาพุทธ ก็คงเป็นพวกพุทธวิชาการทั่วๆ ไป

อย่างไรก็ดี  ประเด็นเรื่องจุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนาพุทธคือ “นิพพาน” นั้นถูกต้อง 

ศาสนาพุทธเข้ามาในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันนี้ ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 300  ความเชื่อใน “นิพพาน” ก็คงมีมาตั้งแต่นั้น

ความเชื่อดังกล่าว มั่นคงมาตั้งแต่นั้น จนถึงปลายรัชกาลที่ 3

เมื่อวิทยาการความรู้จากตะวันตกเข้ามาในประเทศไทย  พวกพุทธวิชาการเปลี่ยนไปเชื่อปรัชญากับวิทยาศาสตร์ของตะวันตก  ทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับ “นิพพาน” ของพุทธเถรวาทเปลี่ยนแปลงไปมาก

บางกลุ่มถึงกับว่า “นิพพานไม่มี”  คนเราเกิดมาตายแล้วเกิดชาติเดียวเท่านั้น  อย่างนี้ก็มีมาก

ขอให้ตัวอย่างจากบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนนางลาวทองปักผ้าถวายพระพุทธรูปที่เมืองลำพูน แล้วตั้งจิตอธิษฐาน ดังนี้

กราบกรานม่านคลี่ด้วยปรีดา
ร้อยสอดมาค่อยผูกพัน
แล้วนั่งพินิจพิษฐาน
ขอเดชะม่านข้าสร้างสรรค์
ปักเสร็จสิ้นผืนคืนกับวัน
กางกั้นถวายพระปฏิมากร
เป็นปัจจัยให้ถึงพระนิพพาน
สมบัติพัสถานอย่าย่อหย่อน
แม้ตายวายชีพม้วยมรณ์
ขอให้จรฟากฟ้าสุราลัย

จะเห็นว่า นางลาวทองต้องการไป “นิพพาน” แต่รู้ว่าต้องสร้างบารมีกันนานมาก เมื่อบารมียังไม่ถึงนิพพานก็ขอให้ไปสวรรค์เมื่อตายไปแล้ว

นี่คือ ความเชื่อของพุทธศาสนิกชนคนไทยทั่วไป

แล้วทำอย่างไรจึงจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้

เรื่องนี้มีอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มแรกเลยทีเดียว คือ พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค เรื่องเวรัญชพราหมณ์

ตอนนั้น พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองเวรัญชา พร้อมด้วยพระสงฆ์ 500 รูป เวรัญชพราหมณ์สงสัยก็มาทูลถามพระพุทธเจ้าหลายเรื่อง

ถึงตอนที่จะแสดงว่าพระองค์ทรงบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระตรัสว่า พระองค์ผ่านฌานสี่ และวิชชาสาม  ขอแสดงเฉพาะ “อาสวักขยญาณ” ของวิชชาสาม ดังนี้

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว  อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ 

เรานั้นได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า  นี้ความดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า  เหล่านี้อาสวะ  ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า  นี้เหตุให้เกิดอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ

เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ  ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ  ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ

เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติ สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

พราหมณ์ วิชชาที่สามนี้แล เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว  แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว

เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาทมีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น

ความชำแรกออกครั้งที่สามของเรานี้แล  ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.

เวรัญชพราหมณ์แสดงตนเป็นอุบาสก

วิชชาที่หนึ่งคือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ การระลึกชาติของพระองค์เอง วิชชาที่สองคือ จุตูปปาตญาณ คือ การรู้ว่าสัตว์ทั้งหลายในชาติหน้าที่เกิดไปที่ไหนอย่างไร

จากพระสูตรนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การบรรลุมรรคผลจะต้องมี “วิชชาอาสวักขยญาณ” อยู่ด้วย ขาดวิชชานี้ไม่ได้

บางคนอาจจะสงสัยว่า อ้าว แล้วอริยสัจ 4 เล่า  แล้วมรรค 8 เล่า ไม่ต้องใช้หัวข้อธรรมะเหล่านี้หรือ!!!

นอกจากนั้น พวกกิเลสทั้งหลายเล่า  ไม่กำจัดมันหรือ!!! สุดท้ายก็คือ อวิชชา เราจะไม่กำจัดมันหรือ

ขอให้ไปอ่านอาสวักขยญาณอีกครั้งหนึ่ง จะเห็นว่า อาสวักขยญาณตอบปัญหาเหล่านั้นได้ทั้งหมด

ตรงนี้คือการพิจารณาอริยสัจ 4

เรานั้นได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า  นี้ความดับทุกข์
ได้รู้ชัดตามเป็นเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

ตรงนี้คือการกำจัดอาสวะ

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า  เหล่านี้อาสวะ 
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า  นี้เหตุให้เกิดอาสวะ
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับอาสวะ
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ

เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ  ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ  ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ

ตรงนี้คือการกำจัดอวิชชา

พราหมณ์ วิชชาที่สามนี้แล เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี
อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว
ความมืดเรากำจัดได้แล้ว  แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว
เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาทมีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น

ตรงนี้คือการยืนยันว่า พระพุทธองค์ทรงบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติ สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

ดังได้กล่าวไปแล้วข้างบนว่า

เมื่อวิทยาการความรู้จากตะวันตกเข้ามาในประเทศไทย  พวกพุทธวิชาการเปลี่ยนไปเชื่อปรัชญากับวิทยาศาสตร์ของตะวันตก  ทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับ “นิพพาน” ของพุทธเถรวาทเปลี่ยนแปลงไปมาก 

บางกลุ่มถึงกับว่า “นิพพานไม่มี”  คนเราเกิดมาตายแล้วเกิดชาติเดียวตามความเชื่อของวิทยาศาสตร์เท่านั้น

เรื่องวิชชา 3  ที่จะทำให้คนไปนิพพานได้ จึงไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึงมากนัก เพราะ พวกพุทธวิชาการไม่เชื่อว่าจะทำอย่างนั้นได้

ประเด็นที่น่าสังเกตและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ การปฏิบัติธรรมของพระพม่า   การปฏิบัติธรรมของพระพม่าทุกสายเลย จะไม่มีการกล่าวถึงวิชชา 3 ไม่มีการกล่าวถึงบารมี 30 ทัศ  เพราะ การปฏิบัติธรรมของพระพม่าก็ไปเชื่อเรื่องตายแล้วเกิดเพียงชาติเดียวของวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย

การปฏิบัติธรรมของพระพม่าจึงโกหกกันว่า “สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน”  ซึ่งผมยังไม่เคยเห็นว่า มีพระพม่าหรือพระไทยใจพม่ารูปใดที่มีสามารถทำได้อย่างนั้นเลย


เห็นมีแต่ว่า “ลงนรก” ไปหลายรูปเลย เช่น มหาสีสะยาดอ  มหาโชดก  คุณสิริ กรินชัย เป็นต้น





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น