บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

อนุปุพพิกถา


ในบทความชุดนี้ ผมยืนยันด้วยหลักฐานจากพระไตรปิฎกว่า การบรรลุธรรมจะต้องใช้วิชชาสาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชชา “อาสวักขยญาณ” 

ในการบรรยายวิชชาอาสวักขยญาณในเวรัญชพราหมณ์สูตรนั้น  พระพุทธองค์ทรงอธิบายอย่างชัดเจนว่า มีการกำจัดอวิชชา อาวสะ และมีการพิจารณาอริยสัจ 4 

วิชชาอาสวักขยญาณนั้น ตอบปัญหาการบรรลุธรรมในศาสนาพุทธเถรวาทได้เกือบจะครบถ้วน

บทความนี้ จะเสนอเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่า “อริยสัจ 4” นั้น จะต้องมีการพิจารณา หรือจะต้องมีการปฏิบัติ 

ไม่ใช่ว่า “ปฏิบัติธรรมหัวข้อธรรมะใดในสติปัฏฐาน 4 ก็บรรลุมรรคผลนิพพาน” ได้ ตามคำสอนของพระพม่า

หลักฐานที่ว่านั้นก็คือ หัวข้อธรรมะที่ว่า “อนุปุพพิกถา

พระพุทธองค์ทรงสอนอนุปุพพิกถาครั้งแรกให้กับยสกุลบุตรที่เดินไปพูดไปว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ

พระพุทธองค์ได้ตรัสกับยสกุลบุตรนั้นดังนี้ว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มาเถิด จงนั่งลง เราจักแสดงธรรมแก่เธอ

แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงสอน ดังนี้

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศ
๑.  ทานกถา (เรื่องทาน)
๒.  สีลกถา (เรื่องศีล)
๓.  สัคคกถา (เรื่องสวรรค์)
๔.  กามาทีนวกถา (เรื่องโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองแห่งกาม)
๕.  เนกขัมมานิสังสกถา (เรื่องอานิสงส์แห่งการออกจากกาม) แก่ยสกุลบุตร

เมื่อทรงทราบว่า ยสกุลบุตรมีจิตควร อ่อน ปราศจากนิวรณ์ เบิกบานผ่องใส จึงทรงประกาศสามุกกังสิกธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ธรรมจักษุอันปราศจากธุลีปราศจากมลทิน ได้เกิดแก่ยสกุลบุตร ณ อาสนะนั้นแลว่า

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดาเปรียบเหมือนผ้าขาวสะอาดปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้เป็นอย่างดี

ต่อมาบิดาของยสกุลบุตรมาตาม พระพุทธองค์ก็ทรงสอนอนุปุพพิกถาซ้ำอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่ง..

เศรษฐีคหบดีได้เห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว รู้แจ้งธรรมแล้ว หยั่งลงสู่ธรรมแล้ว ข้ามความสงสัยแล้ว ปราศจากความแคลงใจ

ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้าไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา

ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า

พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก

พระองค์ทรงประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่างๆ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีตาดีจักเห็นรูป

พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค พร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ

ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต

เศรษฐีคหบดีนี้แล ได้เป็นเตวาจิกอุบาสก (ผู้กล่าวถึงรัตนะทั้ง ๓ ว่าเป็นสรณะ) เป็นคนแรก ในโลก

[๒๘] ขณะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมโปรดบิดาของยสกุลบุตรอยู่ จิตของยสกุลบุตรผู้พิจารณาภูมิธรรม

ตามที่ได้เห็น ตามที่ได้รู้ ก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น

ขอให้ดูข้อความสุดท้ายนี้ให้ดี 

ขณะที่พระพุทธองค์ทรงสอนอยู่นั้น  “จิตของยสกุลบุตรผู้พิจารณาภูมิธรรม ตามที่ได้เห็น ตามที่ได้รู้

แสดงว่า ยสกุลบุตรก็ปฏิบัติตามไป จนกระทั่ง “เห็น” ด้วย “รู้” ด้วย  และ “ก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น”  เป็นพรอรหันต์

พระสูตรนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การสอนวิชาธรรมกายตามที่คุณลุงการุณย์พัฒนาขึ้นมานั้น มีลักษณะเช่นเดียวกับกับการที่พระพุทธองค์ทรงสอนพุทธศาสนิกชนในยุคนั้น

วิชาก็เป็นวิชาเดียวกันคือ วิชาธรรมกาย

เมื่อสอนไปแล้ว ก็จะมีคนเห็นดวงธรรม  ก็คือ “มีดวงตาเห็นธรรม”  ต่อไปก็เห็นกายธรรม  ก็บรรลุพระอริยบุคคลกันไป

พระสูตรนี้ก็เช่นเดียวกัน  ผู้บรรลุจะต้องปฏิบัติวิชชาสามด้วย  แต่ผู้ท่องจำ ท่องจำเพียงแต่ว่า พระยสกุมารเรียนเฉพาะ “อริยสัจ 4” ซึ่งในความจริงนั้น  พระยสกุมารจะต้องเรียนวิชชาสาม

ในส่วนที่เป็นวิชชาอาสวักขยญาณนั้น  มีจะการพิจารณาอริยสัจ 4 เป็น 3 รอบ จึงจะทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้

ขอย้ำอีกสักนิดว่า อนุปุพพิกถาคือ พระธรรมเทศนาที่แสดงความลุ่มลึกลงไปโดยลำดับ เพื่อฟอกอัธยาศัยของสัตว์ให้หมดจดและประณีตขึ้นไปเป็นชั้นๆ จากง่ายไปหายาก

เพื่อเตรียมจิตของผู้ฟัง ต่อไปก็จะแสดงอริยสัจ ๔ ธรรมะทั้ง ๙ ข้อนี้  จึงเรียกว่า พหุลานุศาสนี  คือพระธรรมที่พระองค์แสดงมากที่สุด

ดังนั้น การที่สาวกของพระพม่าจะมาสอนว่า การพิจารณาหัวข้อธรรมะหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งในสติปัฏฐาน 4 ก็จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน

มันจะเป็นไปได้อย่างไร

และเท่าที่มีการตรวจสอบดู  พระพม่า สาวกของพระพม่า พวกที่เชื่อพระพม่าไม่มีใครทำได้แม้แต่คนเดียว  ทั้งๆ ที่สอนกันมานานแล้ว


ลงนรกกันไปก็หลายคนแล้ว




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น